สัญญาณเตือนจาก 7 ชิ้นส่วนของรถ ที่บอกว่าถึงเวลาพาไปตรวจสภาพแล้ว

อุตส่าห์เก็บเงินซื้อรถได้ทั้งที ก็ต้องหมั่นดูแลกันหน่อย รถคันโปรดที่เหมือนเพื่อนคู่ใจ บุกน้ำลุยป่า ทะยานพาคุณไปสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ในทุก ๆ ที่ ไม่ว่าจะเหนือใต้ออกตกที่ผ่านมาก็ไม่เคยงอแง อุบัติเหตุก็ไม่เคยเกิด จนทำให้หลาย ๆ คน เริ่มวางใจ และปล่อยปละละเลยลดความสำคัญของการต่อประกันและตรวจสภาพรถ ราคาประกันภัยรถยนต์ที่เคยซื้อชั้นหนึ่งได้แบบไม่ลังเล ก็ถูกลดความจำเป็นลง เพราะเริ่มรู้สึกว่าเสียดายเงินที่จ่ายชั้นหนึ่งมาก็หลายปีแต่ไม่เคยได้ใช้ความคุ้มครองเลย เช่นเดียวกันกับการตรวจสภาพรถที่ห่างหายไปนาน จนกว่าจะรู้สึกตัวอีกทีชิ้นส่วนหลาย ๆ ชิ้นก็เริ่มมีอาการส่งสัญญาณเตือนให้ต้องหันกลับมาดูแลกันอีกครั้ง

วันนี้เราจึงนำเอาสัญญาณเตือนว่าถึงเวลานำรถไปตรวจสภาพได้แล้ว จาก 7 ชิ้นส่วนของรถที่คุณควรสังเกตให้ดี เพราะหากยังละเลยไม่สนใจ อาจทำให้การขับขี่เกิดอันตรายตามมาได้

เครื่องยนต์

เครื่องยนต์ คือ สิ่งแรกเลยที่ควรสังเกตอาการอยู่เป็นประจำทุกครั้งก่อนออกเดินทาง โดยให้สตาร์ทเครื่องทิ้งไว้สักพักแล้วสังเกตุอาการดังต่อไปนี้

  • มีสัญญาณไฟรูปเครื่องยนต์โชว์ที่หน้าจอติดค้าง สัญญาณเตือนแรกที่บ่งบอกถึงความผิดปกติ
  • เครื่องร้อนจัดจนเกินไป ใช้งานรถเพียงไม่กี่นาที ความร้อนก็ขึ้นสูงอยู่ตลอด
  • เครื่องเย็นจนเกินไป ร้อนไปก็ไม่ดี แต่เย็นไปก็ไม่ดีเช่นกัน เมื่อคุณขับรถออกมาได้สักพักแล้วยังพบว่าอุณหภูมิเครื่องยนต์ไม่ขยับขึ้นเลย ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ เครื่องยนต์ที่ถูกใช้งานควรจะมีความร้อนขึ้นบ้างเล็กน้อย
  • ห้องเครื่องยนต์ส่งเสียงแปลก ๆ ออกมาให้กังวลใจ
  • ยางรถยนต์

เมื่อยางรถของคุณเริ่มส่งเสียงแปลก ๆ ขับไม่ได้ดั่งใจเช่นเดิม ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเลยว่าเป็นที่ยางรถหรือเปล่า บางทีคุณอาจจะลืมใส่ใจจนรถดอกยางสึกและหมดไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอันตรายมากเลยทีเดียวถ้าต้องขับรถที่ไร้ดอกยางช่วยยึดเกาะถนน และเมื่อทราบแล้วว่ายางรถหมดสภาพสิ้นอายุการใช้งานควรรีบเปลี่ยนทันที และควรเปลี่ยนทีเดียวทั้ง 4 ล้อ เพื่อให้การขับขี่สมดุล ที่สำคัญอย่าลืมกำชับช่างว่าให้ตั้งศูนย์ถ่วงล้อให้ด้วย เพื่อช่วยให้รถของคุณขับขี่ได้อย่างปลอดภัย

คลัตช์

คลัตช์เป็นอีกชิ้นส่วนที่ไม่ควรรอให้เกิดปัญหาหรือมีสัญญาณแจ้งเตือน เพราะอันตรายมากหากเกิดปัญหาการชำรุด เสียหาย หรือเสื่อมสภาพในขณะขับขี่ โดยสัญญาณเตือนจากคลัตช์มีหลายอาการดังนี้

  • คลัตช์เข้าได้ยาก เหยียบจนสุดก็แล้วแต่ยังไม่สามารถเข้าเกียร์ได้
  • เมื่อเหยียบคลัตช์แล้วเกิดเสียงดังแปลก ๆ
  • แป้นคลัตช์สั่นขณะขับขี่
  • เกียร์

อีกหนึ่งชิ้นส่วนของรถที่มีความสำคัญในการขับขี่ไม่แพ้คลัตช์ เพราะหากพลาดพลั้งเกียร์เกิดปัญหาระหว่างขับขี่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงตามมา ราคาประกันภัยรถยนต์ที่เคยบ่นว่าแสนแพง ความคุ้มครองสูงสุดจะถูกนำมาใช้จนเข้าใจ ได้ถึงความคุ้มค่า อาการที่เป็นสัญญาณเตือนให้เข้าศูนย์เช็คสภาพนั้นมีหลายแบบดังนี้

  • เข้าเกียร์แล้วมมีเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นมา แม้จะเหยียบคลัตช์อยู่ก็ตาม
  • เปลี่ยนเกียร์ลำบาก ไม่ลื่นเหมือนเคย
  • มีเสียงดังขณะที่เกียร์อยู่ในเกียร์ว่าง หรือเกียร์อื่น ๆ
  • มีน้ำมันไหลออกมาบริเวณห้องเกียร์
  • พวงมาลัย
    อาการยางเฟืองของพวงมาลัยชำรุด ทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา อาทิ
  • พวงมาลัยหนักกว่าปกติ ทำให้ต้องใช้แรงมากกว่าเดิมในการบังคับทิศทาง
  • พวงมาลัยหลวม ส่งผลต่อความสามารถในการขับขี่ที่ลดลง
  • พวงมาลัยสั่น สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายขณะขับขี่
  • เบรก

เสมือนหัวใจสำคัญของรถอีกส่วน ที่จะช่วยให้ไม่เกิดเหตุการณ์อันไม่คาดฝัน และเมื่อเบรกเริ่มเสื่อมสภาพ หรือชำรุด จะส่งสัญญาณแจ้งเตือน ดังนี้

– เบรกไม่ค่อยอยู่

– เหยียบเบรกแล้วรถปัด หรือสะบัด

– แป้นเบรกจม เหยียบเบรกไปแล้วยังคงค้างไม่เด้งคืนสภาพ

น้ำมันหล่อลื่น

สัญญาณไฟจะแจ้งเตือนเมื่อเกิดความผิดปกติกับระบบน้ำมันหล่อลื่น เมื่อเห็นสัญญาณเตือนเจ้าของรถควรรีบน้ำรถเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมรถทันที เพื่อไม่ให้รถเกิดสภาพไร้น้ำมันหล่อลื่นนาน จนส่งผลต่อชิ้นส่วนอื่น ๆ ให้ได้รับความเสียหายตามไปด้วย

ทั้ง 7 ชิ้นส่วนเหล่านี้เป็นเพียงจุดสังเกตเบื้องต้น ที่ผู้ใช้รถสามารถรับรู้สัญญาณเตือนได้ง่าย ๆ แต่เพื่อความไม่ประมาทผู้ใช้รถทุกคนควรหมั่นนำรถเข้ารับการตรวจสภาพตามระยะที่กำหนดไว้ในคู่มืออยู่เสมอ และต้องควรมีประกันรถติดไว้ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่ยังไม่มีประกันภัยรถ และกำลังมองหาความคุ้มครองที่ถูกใจ สามารถเปรียบเทียบราคาประกันภัยรถยนต์และขอรับคำปรึกษาได้ที่ Easy Compare เว็บไซต์ที่จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่า คุณจะได้ความคุ้มครองที่ถูกใจและคุ้มค่าติดรถกลับไปอย่างแน่นอน